หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตัวอย่างสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณในการป้องกันและบรรเทาอาการหวัด


- กระเทียม มีสาร "อัลลิซิน" (allicin) ซึ่งมีกลิ่นฉุน ฆ่าเชื้อได้ ส่วนกระเทียมโทน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ดีกว่า "เพนนิซิลลิน" และ "เตตร้าซัยคลิน" ที่เป็นยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ที่ใช้โดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของท้องเสีย แผลติดเชื้อ วัณโรค ไทฟอยด์ และกลากเกลื้อน


 - ขิง มีสารประกอบให้รสเผ็ดอร่อยอย่าง "จินเจอรอล" และ "โชกาออล" ช่วยบรรเทาหวัดและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถนำมาปรุงผ่านความร้อนหรือรับประทานสด นอกจากนี้ยังบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้และวิงเวียนศีรษะได้อีกด้วย


- มะขามป้อม ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม มะขามป้อมมีวิตามินซี 276 มิลลิกรัม สามารถนำเนื้อผลแห้งหรือสดมารับประทานเพื่อขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ นอกจากนี้ ถ้านำผลแห้งมาต้มดื่มจะช่วยแก้ไข้


 - กะหล่ำปลี ถ้าดิบจะมีวิตามินซีสูงที่สุด โดยเฉพาะกะหล่ำดาวที่ 1 ถ้วย มีวิตามินซีถึง 97 มิลลิกรัม แถมยังมีสารต้านมะเร็งหลายตัว ช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ได้ โดยรับประทานได้ทั้งสดและปรุงสุก แต่ไม่ควรกินแบบสดๆ ในปริมาณมากๆ เพราะสาร "กอยโตรเจน" (Goitrogen) จะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายขาดไอโอดีน หากปรุงสุกกอยโตรเจนจะสลายไป


 - ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในการบรรเทาและรักษาอาการเจ็บคอ ซึ่งเคยมีการศึกษาระบุถึงประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด ต่อมทอนซิลอักเสบ มีคุณสมบัติแก้ไข้ และต้านการอักเสบ เนื่องจากมีสาร "แอนโดรกราโฟไลด์" เป็นส่วนประกอบสำคัญ
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันการแพทย์แผนไทยทดลองให้ยาเม็ดสารสกัด
ฟ้าทะลายโจรแก่ผู้ป่วยไข้หวัด พบว่าอาการไอ เสมหะ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดหู นอนไม่หลับและเจ็บคอลดลง


 - พริก มีวิตามินซีและสารที่ทำให้เกิดรสเผ็ดที่เรียกว่า "แคปไซซิน" (Capsaicin) ช่วยบรรเทาให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้นและโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังลดลง
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างสาร "ไนตริกออกไซด์" ที่ช่วยขยายและเสริมสร้างความแข็งแรงให้หลอดเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย

สมุนไพรไทยจึงไม่เพียงช่วยเพิ่มรสอร่อยในอาหาร หากยังช่วยต้านโรคภัยได้อย่างมหัศจรรย์
 

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรไทย กับการลดน้ำหนัก อย่างปลอดภัย

การรับประทานอาหารมากเกินความต้องการ   ร่างกายก็จะเปลี่ยนสารอาหารส่วนที่เกิดนั้นไว้ในรูปของไขมัน   สะสมตามสะโพก   ต้นขา  เป็นต้น  การเป็นคนอ้วนก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในตนเอง  และยังมีโรคแทรกซ้อนอีกเช่น  ข้อเสื่อม เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การดูแลสุขภาพให้ดีตั้งแต่การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
          หากจำเป็นต้องพึงยาลดความอ้วนนอกเหนือจากยาแผนปัจจุบันแล้ว  ด้านความปลอดภัยสมุนไพรเพื่อช่วยลดน้ำหนักก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง  ที่กำลังนิยมกันเนื่องจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความปลอดภัย กลุ่มของพืชสมุนไพรไทย หรือวัตถุดิบก่อนนำมาสกัดเป็นยานั้น มีหลายอย่างด้วยกัน ดังนี้ คือ
          ใบมะขามแขก  :  ช่วยระบายท้อง โดยอาศัยผลข้างเคียงของระบายท้องทำให้น้ำหนักลดได้  เนื่องจากการเคลื่อนไหวตัวของลำไส้ที่มากๆ  จะทำให้อาหารและไขมันดูดซึมได้น้อยลง
          เมล็ดเทียนเกล็ดหอย  :  พืชที่ให้ใยอาหาร ซึ่งจะพบว่าทำให้โคเลสเตอร์รอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในกระแสโลหิตลดลง   และมีสารไฟเบอร์ธรรมชาติ  ซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่ช่วยเป็นกากอาหารและโดยโครงสร้าง ของไฟเบอร์เองก็จะดูดขับสารอาหารที่มีขนาดเล็กกว่าไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
          เนื้อในฝักคูณ  :  ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ  ปัจจุบันพบว่ามีสารแอนทราควิโนน ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และมีฤทธิ์ลดไขมันในเส้นเลือดได้
          การนำสมุนไพรหลายๆ  ตัวเข้ามารวมกัน  เพือเป็นการเสริมฤทธิ์กัน  และเพื่อลดอาการข้างเคียง จึงมีการเติมกากพลูช่วยขับลมไปด้วย จึงไม่มีอาการปวดมวนท้อง เป็นยาระบายอ่อน   นอกจากนี้เพื่อเป็นการง่ายต่อการรับประทาน  ได้ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่สกัดออกมา ทั้งชนิดเม็ด และแค๊ปซูล หาซื้อง่ายตามร้านขายยาทั่วไป
          เท่านี้คุณก็สามารถลดความอ้วน อย่างปลอดภัย ด้วยสมุนไพร

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ใช้สมุนไพรไทย ปรับธาตุให้สมดุล


      เอ่ยชื่ออาจารย์ประกอบ อุบลขาว ในแวดวงการแพทย์แผนไทยล้วนรู้จักท่านเป็นอย่างดี ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์หมอแผนไทยทางภาคใต้ ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเจออาจารย์ ก็ได้ถามท่านว่าหมอแผนไทยจะรับมืออย่างไรดีกับไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งอาจารย์แนะว่าให้ใช้ยาปรับธาตุตามฤดูกาลบำรุงร่างกาย  อย่างในฤดูฝนก็ดื่มน้ำตรีกฏุกเป็นหลัก ขับไล่ลมให้เดินสะดวก ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ปกติ ร่างกายก็แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย หรือแนะดื่มน้ำตะไคร้ ช่วยขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยขับสิ่งไม่พึงประสงค์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายออกทางเหงื่อและปัสสาวะ เป็นหลักการง่ายๆ ปรับธาตุเจ้าเรือนให้สมดุล ใช้เครื่องดื่มสมุนไพรและอาหารผักพื้นบ้านให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนและฤดูกาล
          ธาตุดิน เกิดเดือน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม  กิน ฝาด หวาน มัน เค็ม     
          ธาตุน้ำ เกิดเดือน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน กิน เปรี้ยว ขม     
          ธาตุลม เกิดเดือน เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กิน เผ็ดร้อน     
          ธาตุไฟ เกิดเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม กิน ขม เย็น จืด 
ฤดูฝน เจ็บป่วยจากธาตุลม ปวดเมื่อยเนื้อตัว ขับถ่ายไม่ออก หายใจติดขัด แน่นหน้าอก แนะกินน้ำขิง ตะไคร้ กระชาย หรือผัดฉ่า ผัดขิง ต้มยำน้ำใส ปรับธาตุลมให้เดินสะดวก ขับเคลื่อนการทำงานของธาตุอื่นๆ
ฤดูหนาว เจ็บป่วยจากธาตุน้ำ อากาศเย็น ทำให้หายใจเอาความเย็นเข้าไป เกิดปอดบวม เป็นไข้หวัดได้งาย เสมหะกำเริบ ใช้รสเปรี้ยวของน้ำส้ม มะนาว กระเจี๊ยบ หรืออาหารประเภทยำที่มีรสเปรี้ยวนำ ปรับธาตุน้ำ      
ฤดูร้อน เจ็บป่วยจากธาตุไฟเป็นเหตุ มักร้อนใน กระหายน้ำ เบื่ออาหาร ใช้รสขมบำรุงธาตุไฟ อย่างน้ำใบบัวบก หรือร้อนเกินไปใช้น้ำที่มีรสเย็น จืด ดับไฟ เช่น แตงโม อาหารที่เด่นในฤดูนี้ก็มีข้าวแช่       
 หรือในระหว่างวันตลอด 24 ชั่วโมงก็ยังแบ่งย่อยได้อีก สามารถเลือกหาน้ำสมุนไพรปรับธาตุในประจำวันได้ คือ
ช่วงเช้าเวลา 06.00 - 10.00 น. มักมีอาการของธาตุน้ำกำเริบ เช่น เจ็บคอ มีเสมหะเหนียวข้น แนะดื่มน้ำที่มีรสเปรี้ยวปรับ 
ช่วงสายเวลา 10.00 - 14.00 น. เป็นเวลาที่ธาตุไฟทำงาน น้ำย่อยเรียกหาอาหาร ก็ต้องกินอาหารให้ตรงเวลา ธาตุไฟในร่างกายโดดเด่นกว่าธาตุอื่น อาจใช้น้ำสมุนไพร ใบบัวบก ใบเตย ปรับธาตุ     
ช่วงเวลา 14.00 - 18.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลมมาแทนที่ ได้เวลาลมสว้าน แน่นหน้าอก หาวเรอ ลมพิการ ไม่อยากทำงานอยากนอนท่าเดียว แน่นหน้าอกมากเข้าก็พานลมจับ ก็ต้องใช้น้ำที่มีรสเผ็ดร้อนอย่าง ขิง ข่า ตะไคร้ ตามใจชอบ หรือละลายยาหอมชงดื่มช่วยให้ลมทำงาน     
           หลักการอย่างนี้แนะตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ดูเหมือนจะป่วยแต่ไม่ป่วย ซึ่งถ้าเข้าใจในหลักการดูแลสุขภาพตนเอง ก็สามารถเลือกหาเครื่องดื่มหรืออาหารช่วยตัวเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ
      สำหรับเทคนิคการดูแลสุขภาพ แนะนำให้ใช้สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ตัวยาหลายตัว ได้แก่
 ปวดตามข้อ ใช้กระเทียมดองน้ำผึ้งอย่างน้อย 7 วัน กินวันละ 5 - 6 กลีบ
 แก้ปวดหัวข้างเดียว (ไมเกรน) กระเทียม 10 - 20  กลีบ กินสด
โรคหอบ เอาใบมะขาม 3 ถ้วย หัวกระเทียม 1 ถ้วย พริกไทย 1 ถ้วย ยาดำ 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย เถาบอระเพ็ด 1 ถ้วย ตำให้แหลกปั้นเป็นเม็ดกิน
นอนไม่หลับ เอาผิวมะกรูด รากชะเอม เฉียงพร้า ไพล ขมิ้นอ้อย น้ำหนักเท่ากัน บดเป็นผงชงละลายน้ำร้อนหรือต้มรับประทาน
 ความดันโลหิตสูง เอาตะไคร้ทั้งใบ ต้น ราก จำนวน 5 ต้นต้มกิน
 มีอาการขี้หลงขี้ลืม เอาพริกไทยขาวบดชงกับน้ำร้อนกิน
 แก้เหนื่อยมาก เอาใบมะกอกเพสลาด 1 กำมือ ตำให้แหลกผสมน้ำซาวข้าว คั้นเอาน้ำกิน
 แก้ทอนซิลอักเสบ เอาใบหนุมานประสานกาย 7 ใบ ต้มกินน้ำหรือเคี้ยวอม
 ปัสสาวะไม่ออก เอาผักบุ้งแดงต้มกับน้ำตาลทรายแดงกิน    
           ภูมิปัญญาชาวบ้านอันน่าทึ่งหลายๆ เรื่อง ได้แก่ ดับเปรี้ยวด้วยรสเปรี้ยว เนื้อมะขามแพ้น้ำมะนาว สับปะรดเปรี้ยวแพ้น้ำส้มสายชู ใช้น้ำมันมะพร้าวทาที่สันจมูกแก้อาการหายใจไม่ออก ถ้าถูกหมามุ่ยคันให้กินลูกมะขามป้อมแก้ และน้ำส้มสายชูนอกจากให้ความเปรี้ยวยังได้ประโยชน์หลายอย่าง สะอึกไม่หยุดให้ดื่มน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยเล็ก นอนไม่หลับ ใช้น้ำสุกเย็น 1 ถ้วย ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มก่อนเข้านอนจะหลับสบาย เมารถเมาเรือ เหยาะน้ำส้มสายชูลงในน้ำดื่ม หายจากอาการเมา และถ้าเป็นกลากเกลื้อน ใช้น้ำส้มสายชูทาวันละ 3 ครั้งจนหาย



  
 


วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ราศีเกิดกับน้ำสมุนไพรไทย

             ในทาง โหราศาสตร์ได้จัดแบ่งราศีเกิดของคนเราตามการหมุนของดวง อาทิตย์ไว้ 12 ราศี แต่ละราศีจะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของแต่ละคน และมี ผลต่อร่างกายของคนเราซึ่งประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
บุคคลแต่ละคนจะมีธาตุหนึ่งธาตุใดในร่างกายเด่นชัดออกมา และจะแสดงออกเป็นบุคลิก นิสัย ใจคอ อารมณ์รวมทั้งพฤติกรรมการเลือก บริโภคอาหารให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลได้ ซึ่งราศีเกิด แต่ละคนสามารถพิจารณาจากวันเดือนเกิดของตัวเองได้ ดังนี้ 

  1. ผู้ที่เกิดราศีเมษ     ระหว่างวันที่ 13 เมย 13 พค ราศีแกิดเป็น ธาตุไฟ (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีเมษ)
  2. ผู้ที่เกิดราศีพฤษภ  ระหว่างวันที่ 14 พค 14 มิย ราศีเกิดเป็น ธาตุดิน  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีพฤษภ)
  3. ผู้ที่เกิดราศีเมถุน    ระหว่างวันที่ 15 มิย 15 กค ราศีเกิดเป็น ธาตุลม  (หรือผู้มีลัคMาอยู่ราศีเมถุน)
  4. ผู้ที่เกิดราศีกรกฏ   ระหว่างวันที่ 16 กค 16 สค ราศีเกิดเป็น ธาตุน้ำ  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีกรกฏ)
  5. ผู้ที่เกิดราศีสิงห์      ระหว่างวันที่ 17 สค 16 กย ราศีเกิดเป็น ธาตุไฟ  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีสิงห์)
  6. ผู้ที่เกิดราศีกันย์     ระหว่างวันที่ 17 กย 16 ตค ราศีเกิดเป็น ธาตุดิน  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีกันย์)
  7. ผู้ที่เกิดราศีตุลย์     ระหว่างวันที่ 17 ตค 15 พย ราศีเกิดเป็น ธาตุลม  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีตุลย์)
  8. ผู้ที่เกิดราศีพิจิก     ระหว่างวันที่ 16 พย 15 ธค ราศีเกิดเป็น ธาตุน้ำ  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีพิจิก)
  9. ผู้ที่เกิดราศีธนู       ระหว่างวันที่ 16 ธค 13 มค ราศีเกิดเป็น ธาตุไฟ  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีธนู)
10. ผู้ที่เกิดราศีมังกร    ระหว่างวันที่ 14 มค 12 กพ ราศีเกิดเป็น ธาตุดิน  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีมังกร)
11. ผู้ที่เกิดราศีกุมภ์     ระหว่างวันที่ 13 กพ 13 มีค ราศีเกิดเป็น ธาตุลม  (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีกุมภ์)
12. ผู้ที่เกิดราศีมีน       ระหว่างวันที่ 14 มีค 12 เมย ราศีเกิดเป็น ธาตุน้ำ (หรือผู้มีลัคนาอยู่ราศีมีน)



ธาตุดิน
มักชอบดื่มน้ำผักและผลไม้ที่มีรสฝาด รสหวานรสมันและ รสเค็ม
-รสฝาด เช่น น้ำฝรั่ง น้ำมะตูม น้ำกระท้อน น้ำมะกอก น้ำมะขาม น้ำลูกหว้า
-รสหวาน เช่น น้ำแตงโม น้ำมะละกอ น้ำกล้วยหอม น้ำขนุน น้ำเงาะ น้ำน้อยหน่า น้ำละมุดฝรั่ง น้ำลำใย น้ำอ้อย
-รสมัน เช่น น้ำกระจับ น้ำข้าวโพด น้ำฟักทอง น้ำแห้ว



ธาตุน้ำ
มักจะชอบดื่มน้ำผักและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว รสขม
- รสเปรี้ยว เช่น น้ำมะขาม น้ำมะนาว น้ำกระเจี๊ยบแดง น้ำมะยม น้ำส้มโอ น้ำมังคุด น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำส้มเขียวหวาน น้ำลังสาด น้ำลิ้นจี่ น้ำเชอรี่ น้ำองุ่น น้ำชมพู่ น้ำทับทิม น้ำพุทรา น้ำสตอเบอรี่ น้ำมะขวิด น้ำมะปราง น้ำมะเฟือง น้ำมะไฟ น้ำมะม่วง
- รสขม เช่น น้ำมะระขี้นก น้ำเห็ดหลินจือ น้าใบบัวบก



ธาตุลม
มักจะชอบดื่มน้ำผักผลไม้ที่มีรสเผ็ดร้อน
-รสเผ็ดร้อน เช่น น้ำกระเพราแดง น้ำขิง น้ำตะไคร้



ธาตุไฟ
มักชอบดื่มน้ำผักและผลไม้ที่มีรสหอมเย็น (สุขุม) รสจืด
-รสหอมเย็น (สุขุม) เช่น น้ำลูกเดือย น้ำเม็ดแมงลัก น้ำอาร์ซี น้ำแตงไทย น้ำมะพร้าว น้ำรากบัว น้ำลูกจาก น้ำลูกตาลอ่อน
- รสจืด เช่นน้ำผักคะถ้าน้ำผักตำลึงน้ำแตงกวา น้ำคึ่นช่าย น้ำดอกคำฝอย น้ำว่านหางจระเข้ น้ำกระหล่ำปลี น้ำผักกวางตุ้ง



สรุป
ไม่ว่าจะเกิดราศีใดก็ตามไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำสมุนไพรเฉพาะธาตุ ราศีเกิดของตัวเองเท่านั้น แต่ควรดื่มน้ำสมุนไพรรสชาติอื่น ๆ ด้วย เพราะถ้า หากเราดื่มน้ำสมุนไพรตามธาตุหนึ่งธาตุใดน้อยหรือมากเกินไป จะทำให้ ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยได้เช่นกัน ดังนั้นควรดื่มน้ำสมุนไพรครบทั้ง 4 ธาตุ เพื่อช่วยให้ร่างกายได้สารอาหารหลาย ๆ ชนิด